"LPP" พัฒนา EOC Platform บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินเสริมขีดความสามารถในการบริหารจัดการแบบเรียลไทม์
วันที่ 16 ก.ย. 2567
แอล พี พี ยกระดับการดูแล ผ่านเทคโนโลยี EOC Platform ดูแลสถานการณ์ เฝ้าระวัง แจ้งเตือนภัยเหตุน้ำท่วม และเหตุฉุกเฉินแบบเรียลไทม์ พร้อม Dashboard ภาพรวมเพื่อการเกาะติดสถานการณ์ ให้โครงการที่อยู่อาศัยและอาคารสำนักงานต่างๆ ได้รับความปลอดภัยสูงสุด
นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP ผู้นำในธุรกิจบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า LPP ให้ความสำคัญในการทำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการให้ครอบคลุมความต้องการด้านการอยู่อาศัยในทุกมิติ รวมถึงการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้งานอาคารได้อย่างสูงสุด
“ล่าสุดจากการที่ LPP ได้วางแผนบริหารจัดการ เฝ้าระวัง และรับมือกับความเสี่ยงของสถานการณ์น้ำท่วมให้แก่ทั้ง 260 โครงการที่ดูแลนั้น LPP ได้นำเอาเทคโนโลยี IoT (Internet of things) และ Digital Platform ที่บูรณาการมาอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม เข้ามาใช้เป็นส่วนสำคัญในการช่วยบริหารสถานการณ์และรายงานผล เตือนภัย ป้องกัน เพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้อยู่อาศัยแบบเรียลไทม์ โดย LPP ถือเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่นำเทคโนโลยีขั้นสูง ร่วมกับแผนเฝ้าระวังขั้นสูงสุด เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วม โดยโครงการที่ LPP ได้ทำการประเมินแล้วพบว่าอยู่ในความเสี่ยงน้ำท่วมตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น อยู่ใกล้แม่น้ำหรือคลองสายหลัก หรือ มีชั้นจอดรถใต้ดิน เป็นต้น จะต้องรายงานสถานกาณ์และเตือนภัยทุกวันผ่านระบบ EOC Platform ที่จะรวบรวมและประมวลทุกข้อมูลสำคัญไว้ใน Dashboard หรือ แผงควบคุมกลางรวมศูนย์ข้อมูล อาทิ การรายงานเพื่ออัปเดตสถานการณ์ประจำวัน การประเมินทิศทางของมวลน้ำจากตอนบนที่อาจจะกระทบโครงการที่ LPP บริหาร ตลอดจนการติดตามการแจ้งน้ำท่วมเฉียบพลันแบบ FFPI (Flash Flood Potential Indicator) ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลที่สำคัญทั้งภายในและภายนอกในการประเมินสถาณการ์แบบรายวันไว้ใน Dashboard ที่ LPP ได้พัฒนาขึ้นเองด้วยทีมวิศวกรข้อมูล (Data Engineering) ที่ตอบความต้องการได้ตรงกว่า พร้อมผู้เชี่ยวชาญคอยเฝ้าระวัง สั่งการ และประสานงาน ภายใต้การดำเนินงานของ ศูนย์ปฏิบัติการเหตุฉุกเฉิน : Emergency Operations Center (EOC) และ ฝ่ายวิศวกรรมส่วนกลาง : Engineering Center ที่พร้อมวางแผน และลงพื้นที่เพื่อแก้ไขสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง จึงมั่นใจได้ว่าทั้งผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคารจะได้รับความปลอดภัยภายใต้การดูแลจาก LPP อย่างสูงสุด”
นอกจากนี้ ในการดูแลความปลอดภัยให้กับโครงการต่างๆ อาคารสำนักงานและอื่นๆ ที่ LPP บริหารจัดการนั้น LPP ได้ผสานการใช้เทคโนโลยีเครือข่ายอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อสื่อสารกันผ่านสัญญานอินเตอร์เน็ต หรือ IoT (Internet of Things) ติดตั้งในจุดวิกฤติที่น้ำจะเดินทางเข้ามา และ Digital Platform เข้ามาใช้และบริหารจัดการเพื่อส่งมอบความปลอดภัยของผู้ใช้งานอาคารของ LPP อย่างครอบคลุมแบบ 24/7 ทั้งระบบ Monitor CCTV Analytics ในการเฝ้าติดตามระยะไกลได้อย่างรอบด้านและทั่วถึง เพื่อตรวจจับสิ่งผิดปกติต่างๆ ระบบ Face Camera หรือระบบกล้องจดจำใบหน้า ที่คอยตรวจสอบสแกนบุคคล เข้า-ออก อาคาร เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ ได้แก่ กรณีที่เกิดเหตุน้ำท่วม หรือ มีบุคคลภายนอกเข้ามาในโครงการโดยไม่ได้รับอนุญาต ระบบ SOS Emergency Call & VDO จะสื่อสารทั้งภาพ และเสียง ไปยังเจ้าหน้าที่ศูนย์ EOC เพื่อเข้าให้ความช่วยเหลือแบบทันท่วงที โดยทำการเชื่อมต่อทุกข้อมูลถึงกันอย่างรวดเร็วและไร้ขีดจำกัดผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ที่ทำให้การตรวจสอบและติดตามสถานการณ์รอบด้านให้เป็นไปอย่างเรียลไทม์ และยังถือเป็นการประหยัดทรัพยากรและช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“การที่ LPP นำเอาเทคโนโลยี IoT และ Digital Platform เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการนั้น เพื่อให้สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการใช้อาคารต่างๆ ให้ได้รับความสะดวกสบายและความปลอดภัยขั้นสูง ตลอดจนการส่งมอบงานบริการได้อย่างครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิตในทุกวัน ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมเพื่อความมั่นใจในการอยู่อาศัยและความปลอดภัยของอาคารต่างๆ โดย LPP จะยังคงมุ่งมั่นศึกษาพัฒนาเทคโนโลยีและบริการต่างๆ เพื่อให้สามารถส่งมอบบริการที่ดีที่สุดสมกับที่ได้รับความไว้วางใจ ให้คุณใช้ชีวิต “สมูท” ได้ทุกวัน (Smooth Your Living) ตามปณิธานที่เราตั้งไว้” นายสรุวุฒิกล่าว