Skip to content Skip to footer

“LPN” เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจตามแผน Turnaround เปิดตัว 6 โครงการใหม่ครึ่งหลังของปี 2565

วันที่ 4 ส.ค. 2565

LPN”  เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจตามแผน Turnaround  เปิดตัว 6 โครงการใหม่ครึ่งหลังของปี 2565

    LPN” เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจตามแผน Turnaround  เปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่า 6,700 ล้านบาท พร้อม Re-design และ Re-branding ภายใต้แบรนด์ “168” ที่ออกแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 คงเป้าหมายยอดขายปี 2565 แตะ 13,000 ล้านบาท

 

      นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวล ลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ว่า ถึงแม้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรืออาจถึงขั้นถดถอย (Recession)  ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากสถานการณ์วิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งจากการแพร่ระบาดที่ยาวนานของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) และสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ระดับราคาน้ำมัน ราคาสินค้า และอัตราเงินเฟ้อ ทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงเกินร้อยละ 5 ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ประมาณร้อยละ 0.25-0.5 เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้น แต่ LPN ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการตามแผนที่วางไว้มูลค่ารวม 13,700 ล้านบาท และยอดขายไม่น้อยกว่า 13,000 ล้านบาท 

    “เราได้มีการประเมินสถานการณ์ความเสี่ยง การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและมีการปรับตัว                                                                                                                                                                                                                                                        อย่างต่อเนื่อง ทำให้เรายังคงดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้” นายโอภาส กล่าว

 

     ในปี 2565 บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวม 13,700 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัย 6 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท และ โครงการบ้านพักอาศัย 4 โครงการ มูลค่า 3,700 ล้านบาท

    ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกปี 2565 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า , โครงการลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น , โครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต – คลอง 1 เฟส 3 และโครงการลุมพินี วิลล์ จรัญ – ไฟฉาย เฟสใหม่   ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด ทำให้มียอดขายรวม(Presale) 4,800 ล้านบาท ในครึ่งแรกของปี 2565 เติบโตร้อยละ 17 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37 ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ 13,000 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดการรับรู้รายได้ของบริษัทในครึ่งแรกของปีอยู่ที่ 4,190.74 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 338.78 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 50 และ ร้อยละ 39  ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564

    “ยอดขายและการรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีอัตราการเติบโต เป็นผลมาจากเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2564 กำลังซื้อที่ชะลอตัวมาตั้งแต่ปี 2564 เริ่มกลับเข้าสู่ตลาด ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จนส่งผลให้ระดับราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวในช่วงปลายไตรมาส 2 และต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 3 ปี 2565 ทำให้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เรายังคงดำเนินการตามแผนที่วางไว้โดยเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่า 6,700 ล้านบาท หลังจากที่เปิดตัวโครงการใหม่ไป 4 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และคงเป้าหมายยอดขายที่ 13,000 ล้านบาท ถึงแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวหรือถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี  เนื่องจากตลาดยังคงมีกำลังซื้อ แต่ผู้ซื้ออาจจะปรับลดงบประมาณในการซื้อที่อยู่อาศัย เพราะไม่แน่ใจรายได้ในอนาคต โดยราคาที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย ยังคงมีแนวโน้มเติบโตทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย เนื่องจากตอบโจทย์ความต้องการและอยู่ในงบประมาณของผู้ซื้อที่มีรายได้ระดับกลางถึงสูงได้เป็นอย่างดี”    นายโอภาส กล่าว

    นายโอภาส กล่าวว่า ถึงแม้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จะเผชิญกับปัจจัยลบหลายปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม แต่การที่กฏหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีผลบังคับใช้และการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มจำนวน ในปี 2565 ด้านหนึ่งทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ มีต้นทุนทางการเงินที่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับที่ดินเปล่าและสินค้าคงเหลือที่มีอยู่แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้เจ้าของที่ดิน (Landlord) ยอมที่จะขายที่ดินออกมาในระดับราคาที่เหมาะสม เพื่อลดภาระการถือครองที่ดิน เป็นจังหวะที่ดีในการซื้อที่ดินของผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการในอนาคต โดย LPN มีงบในการซื้อที่ดิน 4,000 ล้านบาทในปี 2565 และได้ลงทุนซื้อที่ดินไปแล้ว 1,400 ล้านบาทในครึ่งแรกของปี และมีแผนที่จะซื้อที่ดินเพิ่มอีก 2,600 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

“168” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน

   ตามแผนในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดตัว 2 โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่า 3,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการที่บริเวณราชพฤกษ์ ซอย 5 ใกล้มหาวิทยาลัยสยาม และโครงการที่อ่อนนุช ซอย 19   พร้อมเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัย 4 โครงการ ประกอบด้วย เวนู 168 ราชพฤกษ์ , เวนู 168  เวสต์เกต และเวนู 168 คูคต สเตชั่น และโครงการเรสซิเดนซ์ 168 ราชพฤกษ์ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีมูลค่ารวม  3,700 ล้านบาท 

   “ทุกโครงการที่เปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เป็นโครงการที่เปิดตัวภายใต้แบรนด์ใหม่ คือ “168” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ถูกออกแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้แนวคิด “น่าอยู่”  (Livable Home) มากขึ้น ผ่านการออกแบบที่ตอบสนองการใช้ชีวิตวันนี้ ทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ ให้ความสำคัญกับเรื่องการผสานการใช้งาน (Function) และการดึงอารมณ์ ความรู้สึก (Emotion) ตามความชอบ บุคลิก ที่เรียกว่าต้องเข้าใจ Insight ของลูกค้า เพราะแต่ละกลุ่มก็มีความเฉพาะเจาะจง ทำให้งานออกแบบมีสไตล์ที่สะท้อนตัวตน และรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าได้ชัดเจน การออกแบบทั้งโครงสร้างและตกแต่งภายในแบบ Stylish Smart Living บ้านวิถีใหม่ ที่มีสไตล์เฉพาะตัวด้วยเทคโนโลยีการอยู่อาศัยที่ง่ายขึ้น  มีเอกลักษณ์สัมพันธ์กับพื้นที่ ไม่เพียงแค่ความสวยงามทันสมัยเท่านั้น แต่ต้องใส่ใจกับการใช้งานที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยจริงของคนเมืองรุ่นใหม่ ที่ลงตัวในทุกมิติของการใช้ชีวิต ทั้งการใช้งานและการออกแบบที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ (Identity) เฉพาะตัวของผู้อยู่อาศัย ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนที่เริ่มต้นทำงาน (First Jobber) กลุ่มที่สร้างธุรกิจเอง (Entrepreneur) รวมไปถึงกลุ่ม Startups”

   “เราปรับการออกแบบทุกโครงการและทุกยูนิตภายใต้แบรนด์ ”168” ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยนำผลวิจัยทุกความต้องการของลูกค้า (Human Centric) ของ LPN มา Re-Design ทุกโครงการใหม่ของเราให้มีรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปรับฟังก์ชั่นการใช้งานให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (Customer Target) และเลือกใช้เทคโนโลยี่ที่เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละโครงการ ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ 5 ปี (2565-2569) Turnaround ขององค์กร”

   “ปี 2565 เป็นปีที่เราเดินหน้าการทำธุรกิจเต็มสูบ หลังจากที่ชะลอแผนการลงทุนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2561 เพื่อที่จะสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ และสร้างฐานเพื่อการรับรู้รายได้ตามแผนยุทธศาสตร์ที่จะสร้างยอดขายแตะระดับ 20,000 ล้านบาทในปี 2569 ด้วยการเปิดตัวและพัฒนาโครงการใหม่ให้ครอบคลุมในทุกกลุ่มเป้าหมายและในทุกทำเลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล” นายโอภาส กล่าว

   สำหรับลูกค้าที่สนใจเยี่ยมชมโครงการ สามารถลงทะเบียนนัดหมายเยี่ยมชมโครงการพร้อมสำรองที่จอดรถได้ที่ LPN Call Center 02-689-6888 หรือ Facebook : LPN Connect หรือแอพพลิเคชั่น LINE OA ที่ @LPNConnect